การคว้านท้องครั้งสุดท้าย
มิชิมะ ยูกิโอะ ซามูไรคนสุดท้าย
ผู้วางวายท่ามกลางยุคสมัยที่ญี่ปุ่นหันหลังให้ลัทธินิยมทหาร
มิชิมะ ยูกิโอะ เป็นนักเขียนปากกาทองแห่งยุคหลังสงคราม ผลงานของเขาสะท้อนจิตสำนึกอันสับสนของคนญี่ปุ่น การปะทะสังสรรค์ระหว่างชีวิตและความตาย ตะวันออกตะวันตก และเพศรสอันคลุมเครือ หนึ่งในผลงานชิ้นเยี่ยมของเขาคือ นิยายชุดจตุรภาค "โฮโจโนะอุมิ "หรือ The Sea of Fertility tetralogy โดยภาคที่ 3 มีชื่อเรื่องว่า "อะกะซึกิโนะเทระ" หรือ The Temple of Dawn ใช้บางกอกยุคสงครามเป็นฉากหลักของเรื่อง ว่าด้วยความสัมพันธ์อันลี้ลับซับซ้อนของทนายหนุ่มชาวญี่ปุ่น กับราชนิกุลสาวชาวไทยที่ชื่อ หญิงจันทร์ ผู้ที่ระลึกชาติได้ว่าตัวเองเคยเป็นเด็กชายชาวญี่ปุ่น และทนายหนุ่มก็เชื่อว่าเธอเป็นเพื่อนในวัยเด็กของเขากลับชาติมาเกิด กลายเป็นความผูกพันอันน่าอิหลักอิเหลื่อในเวลาต่อมา
.jpg)
มิชิมะกับดาบซามูไร
ความคลุมเครือและสับสนไม่เพียงเป็นแก่นหลักในงานเขียนของ มิชิมะ แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเขา ที่ซ้อนทับระหว่างความก้าวหน้าแบบหลุดโลกอย่างพวกอวองต์การ์ด (avant-garde) กับการเป็นพวกขวาจัด ชาตินิยมสุดขั้วแบบเอาชีวิตเข้าแลก พยายามฟื้นคืนความรุ่งโรจน์ของญี่ปุ่นก่อนยุคสงคราม ทั้งๆ ที่งานด้านวรรณกรรมของเขาแสดงถึงความเหลวแหลกของยุคสมัย
ความสับสนนี้นำเขาไปสู่จุดจบที่หวือหวายิ่งกว่าละคร
วันที่ 25 พฤศจิกายน 1970 มิชิมะ กับพวกกองกำลังขวาจัดคลั่งชาติอีก 4 คน บุกยึดกองบัญชาการกองกำลังป้องกันตนเอง (SDF) ในกรุงโตเกียว ด้วยกำลังเพียง 4 คน เขากับพวกควบคุมห้องผู้บัญชาการไว้ มัด ผบ. ไว้กับเก้าอี้ แล้วจัดการตั้งเครื่องกีดขวาง เมื่อเสร็จสรรพดีแล้ว มิชิมะ ในเครื่องแบบทหารเดินออกมาที่ระเบียงหน้าอาคาร ท่ามกลางสายตาของกองกำลัง SDF นับร้อยคนที่รอดูด้านล่างว่าพวกนี้จะมาไม้ไหน
.jpg)
มิชิมะสาธิตการคว้านท้องเพื่อถ่ายภาพเก็บไว้
จากนั้น มิชิมะ ก็เริ่มปราศรัยปลุกระดม เรียกร้องให้กองกำลังป้องกันชาติ ร่วมกันฟื้นฟูกองทัพ ชำระล้างความอับอายของประเทศที่ตกเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ในสงคราม สุดท้ายกระตุ้นเร้าให้พวกเขาร่วมกับการ "รัฐประหาร" ในครั้งนี้
แต่อนิจจา มิชิมะอาจเป็นนักเขียนที่เก่งกาจ แต่การปราศรัยของเขาได้รับแต่เสียงเย้ยหยัน ถ้อยคำด่าทอ และเสียงหัวเราะราวกับตัวตลก หลังจากพยายามกล่าวถ้อยแถลงด้วยลีลาเร่าร้อนได้ไม่นาน พบว่าความพยายามไม่เพียงไร้ผล แต่ยังถูกสบประมาท จึงหันหลังกลับเข้าไปในห้องบัญชาการเงียบๆ
.jpg)
มิชิมะจำลองเหตุการณ์คว้านท้องที่จะเกิดขึ้นจริงในเวลาต่อมา
ในห้องนั้น มิชิมะ ยูกิโอะ ตัดสินใจทำ "เซปปุกุ" เยี่ยงซามูไรผู้ห้าวหาญ ใช้มีดสั้นคว้านท้องตัวเองหนีความอัปยศ แล้วให้สมาชิกคนหนึ่งเป็นมือดาบสังหาร คอยตัดศีรษะของเขาเมื่อเวลามาถึง
.jpg)
ภาพเขียนแสดงพิธีคว้านท้องอย่างเป็นทางการสมัยเอโดะ
แต่แม้คิดจะตาย ฟ้าก็ยังไม่ยอมให้ตายง่ายๆ เพราะมือดาบสังหารทำงานอย่างเลวเต็มที แทนที่จะสับคมดาบที่คอให้ขาดในคราวเดียวเพื่อตัดทรมาน แต่กลับลงมือพลาดครั้งแล้วครั้งเล่า จนต้องยื่นมีดให้สมาชิกอีกคนช่วยตัดคอ มิชิมะ ให้ขาดสะบั้นอย่างที่ควร จากนั้นมือมีดผู้ผิดพลาดก็คว้านท้องตัวเองตายตามผู้นำ "รัฐประหาร"
.jpg)
ภาพจำลองการคว้านท้องโดยนักแสดงในช่วงศตวรรษที่ 19 - ต้นศตวรรษที่ 20
ชีวิตของ มิชิมะ ต้องพบเจอเรื่องผิดพลาดครั้งใหญ่หลายครั้ง ถูกเสนอชื่อชิงรางวัลโนเบลก็พลาดถึง 3 ครั้ง ก่อรัฐประหารก็ถูกเย้ยเยาะ แม้จะตายศีรษะก็ยังไม่ยอมหลุดจากบ่า
แต่ว่าด้วยงานเขียนแล้ว แนวทางนี้ไม่มีใครเทียบเขาได้
และหลายคนก็ยอมรับด้วยใจ ให้ มิชิมะ ยูกิโอะ เป็นซามูไรคนสุดท้าย ผู้วางวายท่ามกลางยุคสมัยที่ญี่ปุ่นหันหลังให้กับลัทธินิยมทหาร เพื่อหันมาสมาทานลัทธิพนักงานกินเงินเดือน
*ภาพ มิชิมะ ยูกิโอะ "แสร้งทำ" เซปปุกุ ถ่ายโดย ยะโต ทะมัตซึ ช่างภาพชาวญี่ปุ่น ผู้มีชื่อเสียงกับภาพถ่ายแนวโฮโมอีโรติก
ผู้วางวายท่ามกลางยุคสมัยที่ญี่ปุ่นหันหลังให้ลัทธินิยมทหาร
มิชิมะ ยูกิโอะ เป็นนักเขียนปากกาทองแห่งยุคหลังสงคราม ผลงานของเขาสะท้อนจิตสำนึกอันสับสนของคนญี่ปุ่น การปะทะสังสรรค์ระหว่างชีวิตและความตาย ตะวันออกตะวันตก และเพศรสอันคลุมเครือ หนึ่งในผลงานชิ้นเยี่ยมของเขาคือ นิยายชุดจตุรภาค "โฮโจโนะอุมิ "หรือ The Sea of Fertility tetralogy โดยภาคที่ 3 มีชื่อเรื่องว่า "อะกะซึกิโนะเทระ" หรือ The Temple of Dawn ใช้บางกอกยุคสงครามเป็นฉากหลักของเรื่อง ว่าด้วยความสัมพันธ์อันลี้ลับซับซ้อนของทนายหนุ่มชาวญี่ปุ่น กับราชนิกุลสาวชาวไทยที่ชื่อ หญิงจันทร์ ผู้ที่ระลึกชาติได้ว่าตัวเองเคยเป็นเด็กชายชาวญี่ปุ่น และทนายหนุ่มก็เชื่อว่าเธอเป็นเพื่อนในวัยเด็กของเขากลับชาติมาเกิด กลายเป็นความผูกพันอันน่าอิหลักอิเหลื่อในเวลาต่อมา
.jpg)
มิชิมะกับดาบซามูไร
ความคลุมเครือและสับสนไม่เพียงเป็นแก่นหลักในงานเขียนของ มิชิมะ แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเขา ที่ซ้อนทับระหว่างความก้าวหน้าแบบหลุดโลกอย่างพวกอวองต์การ์ด (avant-garde) กับการเป็นพวกขวาจัด ชาตินิยมสุดขั้วแบบเอาชีวิตเข้าแลก พยายามฟื้นคืนความรุ่งโรจน์ของญี่ปุ่นก่อนยุคสงคราม ทั้งๆ ที่งานด้านวรรณกรรมของเขาแสดงถึงความเหลวแหลกของยุคสมัย
ความสับสนนี้นำเขาไปสู่จุดจบที่หวือหวายิ่งกว่าละคร
วันที่ 25 พฤศจิกายน 1970 มิชิมะ กับพวกกองกำลังขวาจัดคลั่งชาติอีก 4 คน บุกยึดกองบัญชาการกองกำลังป้องกันตนเอง (SDF) ในกรุงโตเกียว ด้วยกำลังเพียง 4 คน เขากับพวกควบคุมห้องผู้บัญชาการไว้ มัด ผบ. ไว้กับเก้าอี้ แล้วจัดการตั้งเครื่องกีดขวาง เมื่อเสร็จสรรพดีแล้ว มิชิมะ ในเครื่องแบบทหารเดินออกมาที่ระเบียงหน้าอาคาร ท่ามกลางสายตาของกองกำลัง SDF นับร้อยคนที่รอดูด้านล่างว่าพวกนี้จะมาไม้ไหน
.jpg)
มิชิมะสาธิตการคว้านท้องเพื่อถ่ายภาพเก็บไว้
จากนั้น มิชิมะ ก็เริ่มปราศรัยปลุกระดม เรียกร้องให้กองกำลังป้องกันชาติ ร่วมกันฟื้นฟูกองทัพ ชำระล้างความอับอายของประเทศที่ตกเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ในสงคราม สุดท้ายกระตุ้นเร้าให้พวกเขาร่วมกับการ "รัฐประหาร" ในครั้งนี้
แต่อนิจจา มิชิมะอาจเป็นนักเขียนที่เก่งกาจ แต่การปราศรัยของเขาได้รับแต่เสียงเย้ยหยัน ถ้อยคำด่าทอ และเสียงหัวเราะราวกับตัวตลก หลังจากพยายามกล่าวถ้อยแถลงด้วยลีลาเร่าร้อนได้ไม่นาน พบว่าความพยายามไม่เพียงไร้ผล แต่ยังถูกสบประมาท จึงหันหลังกลับเข้าไปในห้องบัญชาการเงียบๆ
.jpg)
มิชิมะจำลองเหตุการณ์คว้านท้องที่จะเกิดขึ้นจริงในเวลาต่อมา
ในห้องนั้น มิชิมะ ยูกิโอะ ตัดสินใจทำ "เซปปุกุ" เยี่ยงซามูไรผู้ห้าวหาญ ใช้มีดสั้นคว้านท้องตัวเองหนีความอัปยศ แล้วให้สมาชิกคนหนึ่งเป็นมือดาบสังหาร คอยตัดศีรษะของเขาเมื่อเวลามาถึง
.jpg)
ภาพเขียนแสดงพิธีคว้านท้องอย่างเป็นทางการสมัยเอโดะ
แต่แม้คิดจะตาย ฟ้าก็ยังไม่ยอมให้ตายง่ายๆ เพราะมือดาบสังหารทำงานอย่างเลวเต็มที แทนที่จะสับคมดาบที่คอให้ขาดในคราวเดียวเพื่อตัดทรมาน แต่กลับลงมือพลาดครั้งแล้วครั้งเล่า จนต้องยื่นมีดให้สมาชิกอีกคนช่วยตัดคอ มิชิมะ ให้ขาดสะบั้นอย่างที่ควร จากนั้นมือมีดผู้ผิดพลาดก็คว้านท้องตัวเองตายตามผู้นำ "รัฐประหาร"
.jpg)
ภาพจำลองการคว้านท้องโดยนักแสดงในช่วงศตวรรษที่ 19 - ต้นศตวรรษที่ 20
ชีวิตของ มิชิมะ ต้องพบเจอเรื่องผิดพลาดครั้งใหญ่หลายครั้ง ถูกเสนอชื่อชิงรางวัลโนเบลก็พลาดถึง 3 ครั้ง ก่อรัฐประหารก็ถูกเย้ยเยาะ แม้จะตายศีรษะก็ยังไม่ยอมหลุดจากบ่า
แต่ว่าด้วยงานเขียนแล้ว แนวทางนี้ไม่มีใครเทียบเขาได้
และหลายคนก็ยอมรับด้วยใจ ให้ มิชิมะ ยูกิโอะ เป็นซามูไรคนสุดท้าย ผู้วางวายท่ามกลางยุคสมัยที่ญี่ปุ่นหันหลังให้กับลัทธินิยมทหาร เพื่อหันมาสมาทานลัทธิพนักงานกินเงินเดือน
*ภาพ มิชิมะ ยูกิโอะ "แสร้งทำ" เซปปุกุ ถ่ายโดย ยะโต ทะมัตซึ ช่างภาพชาวญี่ปุ่น ผู้มีชื่อเสียงกับภาพถ่ายแนวโฮโมอีโรติก

Comments